Maps to the Stars (2014) มายาวิปลาส

บทประพันธ์ Maps to the Stars ของบรู๊ซวากเนอร์ที่แสดงถึงความงามที่แฝงความรุนแรงของ มายาวิปลาส ลอสแองเจอลิสเข้ากับการกำกับอันน่าตื่นเต้นของเดวิด โครเนนเบิร์กและนักแสดงชั้นนำที่จะนำคุณสำรวจครอบครัวของชาวฮอลลีวู้ดผู้ไขว่คว้าชื่อเสียงและอดีตที่ยังคอยตามหลอกหลอนพวกเขา ผลงานที่ได้คืองานสไตล์โมเดิร์น ฮอลลีวู้ดโกธิค ที่ว่าด้วยยุคศตวรรษที่ 21 ที่ผู้คนโหยหาชื่อเสียงและการยอมรับและกล่าวถึงความโหยหา ความสูญเสีย และความเปราะบางที่ซ่อนอยู่ใต้เงามืดของฮอลลีวู้ดนี่คือส่วนผสมจากฝีมือของวากเนอร์และโครเนนเบิร์กที่ใช้เวลาสองทศวรรษในการสร้างจุดเริ่มต้นของเรื่องราวนี้ย้อนกลับไปในช่วงยุค 90เมื่อวากเนอร์ซึ่งในขณะนั้นยังเป็นนักเขียนและนักแสดงที่ยังคงลำบากและต้องทำงานเป็นคนขับรถลิมูซีน ซึ่งไม่ต่างจากคาแร็กเตอร์ของโรเบิร์ต แพททินสันใน ได้เริ่มต้นเขียนบทภาพยนตร์ที่บันทึกถึงประสบการณ์ของเขาในฮอลลีวู้ดกับผลงานที่จะกลายมาเป็นผลงานสำคัญในชีวิตการทำงานของเขาเขาได้ดำดิ่งไปสู่ความแตกต่างระหว่างเกียรติยศและความชั่วร้ายความทะเยอทะยานและภาพลวงตา การก้าวขึ้นสูงเกินไปและการตกต่ำถึงขีดสุดบทประพันธ์นี้มีจุดพลิกผันตลอดช่วงเวลาหลายปี ซึ่งวากเนอร์ได้กลายมาเป็นนักประพันธ์และนักเขียนบทภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงแต่ต้องเป็นสิบปีให้หลัง ที่วากเนอร์ตัดสินใจที่จะให้โครเนนเบิร์กได้อ่านเรื่องนี้จากการที่ทั้งคู่ได้พูดคุยกันมานานว่าอยากจะทำงานร่วมกัน”ด้วยธีมเกี่ยวกับด้านมืดของความทะเยอทะยานและชื่อเสียงผมรู้สึกว่ามีแค่เดวิด โครเนนเบิร์ดเท่านั้นที่จะทำหนังเรื่องนี้ได้” วากเนอร์กล่าวแน่นอนว่ามันจะต้องใช้เวลาหลายปีกว่าที่โปรเจคท์นี้จะกลายมาเป็นจริงได้ด้วยนักแสดงที่เหมาะสมและเงินทุนโครเนนเบิร์กสนใจในบทภาพยนตร์ที่กล้าหาญของวากเนอร์ซึ่งเฉียบคมด้วยความตลกความน่ากลัว และความตรงไปตรงมา “มันเป็นเรื่องราวของช่วงเวลานั้นจริงๆและมันก็กระทบถึงช่วงเวลาในตอนนี้ด้วย ทั้งในด้านวัฒนธรรม ป๊อบคัลเจอร์ เทคโนโลยีและทุกๆอย่าง ซึ่งผมรู้สึกชื่นชมมาก ผมคิดว่านั่นคือจุดแข็งของวากเนอร์เขาไม่กลัว”โครเนนเบิร์กกล่าว “พลังในบทของเขานั้นน่าสนใจและมีเสน่ห์มากผมอยากทำเรื่องนี้เป็นภาพยนตร์” โครเนนเบิร์กเป็นที่รู้จักว่าเขาเป็นคนทำหนังที่ท้าชนในทุกประเด็นเขาทำหนังที่ท้าทายและมีเนื้อหาสาระที่ทั้งระลึกใจและมีภาพที่สวยงามในช่วงแรกๆของการเป็นผู้กำกับภาพยนตร์เขาได้กำกับหนังทริลเลอร์ที่ยิ่งใหญ่หลายเรื่อง ทั้ง Scanners, Videodrome,The Fly, Dead Ringers, Naked Lunch, eXistenZ และ Spider ในระยะหลังๆ แนวทางการทำหนังของเขา กว้างขึ้นด้วยการกำกับหนังอาชญากรรมทริลเลอร์ อย่าง A History ofViolence และ Eastern Promises รวมถึงหนังประวัติศาสตร์ที่ว่าด้วยเรื่องราวของฟรอยด์และจุงอย่างA Dangerous Method รวมถึง Cosmopolisซึ่งเรื่องราวของหนังเกิดขึ้นในลีมูซีนของเศรษฐีที่ขับไปทั่วเมืองสำหรับโครเนนเบิร์ก เป็นโอกาสอีกครั้งที่เขาขะได้เปลี่ยนแปลงไปทำหนัง”ดราม่าครอบครัว” ที่ไม่ใช่หนังดราม่าครอบครัวโดยทั่วไป